วิถีชุมชนคนกำปง “บือแน”
หมู่บ้านบือแนตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข
4063หมู่ที่ 4ตำบลบุดี อำเภอเมือง
จังหวัดยะลา มีครัวเรือนทั้งหมด จำนวน 186 หลังคาเรือนโดยมีประชากรทั้งหมด
ประมาณ 828คน “บือแน”เป็นภาษามาลายูแปลว่า “นา”พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนากว้าง
เพราะตามประวัติความเป็นมาแล้ว คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อกันมาว่า ในอดีตชาวบ้านจะประกอบอาชีพทำนา
มีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับนาเป็นส่วนใหญ่
และในบริเวณหมู่บ้านจะมีพื้นที่เป็นนาอยู่รอบๆ
สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับหมู่บ้าน
และเมื่อมีการเดินทางผ่านมาทางถนนทางหลวงแผ่นดิน ( สายยะลา- รามัน) จะเห็นท้องทุ่งนากว้างริมทาง ทำให้ชาวบ้านเรียกชุมชนนี้ว่า “กำปงบือแน” มาจนถึงทุกวันนี้
หมู่บ้านบือแน
หรือ กำปงบือแน เป็นชื่อที่ชาวบ้านกัน
ซึ่งคำว่า กำปงเป็นภาษามลายู
หมายถึง หมู่บ้าน มีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มและที่ราบเชิงเขา เป็นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์
เหมาะแก่การปลูกข้าว ในทางด้านทิศตะวันออกเป็นที่เชิงเขาเหมาะแก่การปลูกยางพาราและสวนผลไม้
ซึ่งชาวบ้านนิยมปลูกทุเรียน ลองกอง เงาะ และมังคุด เป็นต้น
สามารถสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนในแต่ละปีได้พอสมควรนอกจากนี้หมู่บ้านของหนูยังมีแหล่งน้ำธรรมชาติ
ได้แก่ คลองฆูเราะห์ ซึ่งชาวบ้านในอดีตจะให้ความสำคัญแก่คลองแห่งนี้เป็นอย่างมาก
ชาวบ้านจะใช้ประโยชน์ในการทำการเกษตรและทำนา เป็นแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ดังสุภาษิตที่ว่าในน้ำมีปลา
ในนามีข้าว
แต่ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สภาวะโลกร้อน อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง ฝนตกไม่ตามฤดู ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก แหล่งน้ำที่ชาวบ้านนิยมใช้น้ำบ่อและน้ำประปาภูเขาในการอุปโภคบริโภคเริ่มลดน้อยลงทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวบ้านที่ต้องใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน
การบริหารจัดการน้ำยังไม่ดีเท่าที่ควรและครอบคลุมทุกควรเรือน ทำให้ชาวบ้านบางส่วนซื้อน้ำมาบริโภคเองเพราะเป็นที่อีกทางเลือกหนึ่งเพื่อความสะดวกในการดำเนินชีวิตในยุคนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
นิยมทำนา และทำสวนยาง ทั้งเป็นเจ้าของสวนยางเอง และรับจ้างตัดยางของเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน
โดยการทำยางก้อนมีรายได้พอกินพอใช้ นอกจากอาชีพที่ได้กล่าวมาแล้วก็ยังมีการทำสวนผลไม้ตามฤดูการ
เช่น ทุเรียน ลองกอง มังคุด เงาะ เป็นต้น สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้เป็นกอบเป็นกำ
และการปลูกพืชตามฤดูกาลหรือพืชอายุสั้น เช่น แตงโม แตงไท แตงกวา ผักบุ้ง ผักกาด
พริก เป็นต้น ไว้บริโภคในครัวเรือนเอง
ทำให้ชาวบ้านได้บริโภคผักปลอดสารผิด
ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และยังสามารถนำไปขายในตลาดชุมชนได้ หรือนำไปแจกจ่ายกันในละแวกเพื่อนบ้าน
เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในหมู่บ้าน ใครมีอะไรก็แบ่งปันกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างชุมชนให้เข็มแข็งได้
ชาวบ้านทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลามร้อยเปอร์เซ็นต์ภาษาที่ใช้สื่อสารกัน
คือภาษามลายูถิ่น และชาวบ้านก็ยังสามารถพูดภาษาไทยได้ เพื่อใช้ติดต่อกับทางราชการ การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นรูปแบบสังคมชนบทกึ่งเมือง
คือนิยมอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเครือญาติ มีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย มีความผูกพันกันทางภาษา ศาสนา
ประเพณี และวัฒนธรรมโดยมีมัสยิดดารุลนาอีมเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของคนในชุมชนนี้ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายหลักหัวสะพานฆูเราะห์ถือเป็นความสะดวกของบุคคลภายนอกที่เดินทางผ่านที่จะแวะทำศาสนกิจ
นอกจากนี้ยังมีประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เช่นวันฮารีรายอ ซึ่งเป็นวันที่รวมตัวของเครือญาติ มีการแบ่งปันอาหารให้ซึ่งกันและกัน ประเพณีการกวนอาซูรอ ซึ่งเป็นประเพณีการทำขนมในอดีต ใครมีสิ่งของอะไรก็เอาออกมารวมกันใส่หม้อ แล้วร่วมกันกวนขนมจนเสร็จ ซึ่งสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับคนในชุมชนได้
ภาพที่ 1 ประเพณีการกวนขนมอาชูรอ และการละเล่นดีเกฮูลู
ที่มา:http://www.komchadluek.net/(รู้มาเล่าไป :
กำจัดแมลงศัตรูพืชในนาข้าว : โดย ดลมนัสกาเจ)
แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกำปงบือแนเองก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ
แต่ชาวบ้านก็ยังดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย
มีความสามัคคี
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
มีผู้นำชุมชนที่เข็มแข็ง
ชาวบ้านให้ความร่วมมือกันเมื่อมีการจัดกิจกรรมต่างๆ แม้ว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
แต่วิถีชีวิตของชาวบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนตามกระแสนิยม
ยังคงดำรงชีวิตอย่างพอเพียงตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้อยู่เย็นเป็นสุขมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มาของข้อมูล:
ผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านบือแน
หมู่ 4 ตำบลบุดี
อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
จัดทำโดย:
เด็กหญิงฟาเดีย มะดีเย๊าะ
ชั้นม.๒/๒ เลขที่๓๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น