เรียงความเรื่อง
ครั้งที่ ๒
เรื่อง
: มัสยิดกรือแซะแห่งตำนาน
ตำนานมัสยิดกรือเซ๊ะ ที่ กรือเซะ-บานา ตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ หมู่ที่ ๒
ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีมัสยิดกรือเซะ
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน
ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบอธิคมของชาวยุโรป
และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง (คำว่า ปิตู แปลว่า ประตู กรือบัน แปลว่า
ช่องประตูที่มีรูปโค้ง) มัสยิดกรือเซะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
ขนาดกว้าง ๑๕.๑๐ เมตร ยาว ๒๙.๖๐ เมตร สูง ๖.๕๐ เมตร เสาทรงกลม
เลียนรูปลักษณะแบบเสาอธิคมของยุโรป
ช่องประตูหน้าต่างมีทั้งแบบโค้งแหลมและโค้งมนแบบอธิคม โดมและหลังคามีรูปทรงโค้งมน
อิฐที่ใช้ก่อมีลักษณะเป็นอิฐสมัยอยุธยา
ตรงฐานมัสยิดมีอิฐรูปแบบคล้ายอิฐสมัยทวารวดีปะปนอยู่บ้าง เป็นเรื่องราวที่ได้สร้างความอัปยศให้กับสังคมมุสลิมนับตั้งแต่ได้มีประวัติศาสตร์อิสลามเกิดขึ้นมาในปัตตานี เริ่มจากรัชสมัยของพระยาอินทิรา แห่งราชวงศ์ RAJA
WANGSA ซึ่งพระองค์เข้ายอมรับในศาสนาอิสลาม และมีพระนามว่า สุลต่าน อิสมาแอล ชาห์ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้วมัสยิดกรือเซ๊ะ ไม่ได้ถูกสร้างโดยลิ้มโต๊ะเคียม เหมือนกับตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ได้รับบอกเล่าต่อๆ กันมา

มีตำนานเล่าสืบต่อกันต่อ ๆ
มาว่า ในยุคที่เมืองปัตตานีมีเจ้าผู้ครองเมืองเป็นนางพญา ชื่อ รายาบีรู (พ.ศ. ๒๑๕๑
- ๒๑๖๗) นั้น ได้มีชาวจีนชื่อ ลิ้มเต้าเคียน มาอยู่เมืองปัตตานี
และเข้ารีตรับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วไม่ยอมกลับเมืองจีน
หลิมกอเหนี่ยวน้องสาวเดินทางมาตามพี่ชายให้กลับเมืองจีนเพื่อดูแลมารดาที่
ชราตามประเพณีของชาวจีน แต่ลิ้มเต้าเคียมไม่ยอมกลับเพราะได้รับมอบหมายจากเจ้าเมืองปัตตานีให้เป็น
ผู้ควบคุมก่อสร้างมัสยิดกรือเซะอยู่
และยังสร้างไม่เสร็จจะขออยู่เมืองปัตตานีต่อไปจนกว่าจะสร้างเสร็จ
หลิมกอเหนี่ยวมีความน้อยใจจึงทำอัตวินิบาตกรรมประท้วงพี่ชาย
แต่ก่อที่นางจะผูกคอตายนางได้อธิษฐานว่าแม้นพี่ชายจะช่างที่เก่งเพียงใดก็ขอ ให้สร้างมัสยิดนี้ไม่สำเร็จ
ด้วยแรงแห่งคำสาปแช่งของนาง
ปรากฏว่า
ลิ้มเต้าเคียมสร้างไม่สำเร็จ ได้ทำการสร้างหลังคาและโดมถึงสามครั้ง
เมื่อสร้างจวนเสร็จก็เกิดอัสนีบาตฟาดโดมและหลังคาพังทลายลงมาทุกครั้ง
ทำให้ลิ้มเต้าเคียมเกิดความหวาดกลัว จึงได้ทิ้งงานก่อสร้างให้ค้างอยู่จนบัดนี้ ต่อมาในสมัยรายาบีรู (พ.ศ. ๒๑๕๙-๒๑๖๗)
ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง แต่กลับสร้างไม่สำเร็จ
สร้างถึงยอดโดมคราวใดก็พังทลายลงมาทุกครั้ง
ทั้งนี้เนื่องจากในสมัยนั้นช่างยังขาดความรู้ในการก่อสร้างหลังคารูปโดม
การก่อสร้างจึงยังคงค้างคาและทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน ในปี พ.ศ.๒๕๒๕
กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะในวาระแห่งปีเฉลิมฉลองกรุงเทพมหานครมีอายุครบ ๒๐๐ ปี
และในปี พ.ศ. ๒๕๔๒
กรมศิลปากรมีโครงการปรับปรุงบูรณะภายในให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้
ส่วนภายนอกยังคงรักษาสภาพโบราณสถานเอาไว้เช่นเดิม

มัสยิดกรือเซะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
เป็นโบราณสถาน และในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิม
คำถามเกี่ยวกับสถานภาพของมัสยิดกรือเซะจึงมีขึ้นเป็นระยะๆ
แต่นั่นไม่สำคัญเท่าความรู้สึกของชาวมุสลิมที่มีต่อนักท่องเที่ยวว่ากำลัง
มองมัสยิดกรือเซะด้วยสายตาและความรู้สึกเช่นใด
*** คือวันที่ต้องจดจำไม่แปรผัน
ร้อยหกศพจบลงเรียงรายกัน
มิมีวันประวัติศาสตร์จะลืมเลือน
"กรือเซะ" นี้คงจะเป็นเช่นตำนาน
ชนกล่าวขานความชั่วร้ายหาใดเหมือน
หลากปัญหาสารพันคอยย้ำเตือน
ความบิดเบือนหรือถูกต้องที่ทำไป
เสียงดัง "ปัง" กู่ก้องอยู่ในหู
สอนให้รู้สิ่งชั่วดีเป็นไฉน
ทุกสิ่งที่ก่อเกิดเหตุผลใด
คืออะไรบอกด้วยช่วยตอบที
อดีตแสนเจ็บปวดให้พ้นผ่าน
สิ่งวันวานจำใส่ใจอย่าหน่ายหนี
เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นเช่นเวที
สร้างคนดีหรือคนชั่วตรึกไตร่ตรอง
ร้อยหกศพจบลงเรียงรายกัน
มิมีวันประวัติศาสตร์จะลืมเลือน
"กรือเซะ" นี้คงจะเป็นเช่นตำนาน
ชนกล่าวขานความชั่วร้ายหาใดเหมือน
หลากปัญหาสารพันคอยย้ำเตือน
ความบิดเบือนหรือถูกต้องที่ทำไป
เสียงดัง "ปัง" กู่ก้องอยู่ในหู
สอนให้รู้สิ่งชั่วดีเป็นไฉน
ทุกสิ่งที่ก่อเกิดเหตุผลใด
คืออะไรบอกด้วยช่วยตอบที
อดีตแสนเจ็บปวดให้พ้นผ่าน
สิ่งวันวานจำใส่ใจอย่าหน่ายหนี
เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นเช่นเวที
สร้างคนดีหรือคนชั่วตรึกไตร่ตรอง
*************************
มัสยิดกรือเซะจะอยู่คู่ชาวมุสลิมตลอดไป
เว็ปไซต์ที่ใช้ในการสืบค้นข้อมูล
-
www.geocities.ws/prawat_patani/masjidkersik.htm
-
muslimchiangmai.net/index.
-
web.yru.ac.th/science/culture/index.php/มัสยิดกรือเซะ
เด็กหญิงนัสรียา เจ๊ะซู ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/๒ เลขที่ ๑๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น